• Home »
  • บทความ »
  • 5 วิธี ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ช่วยบำรุงผิวพรรณผ่องใส

5 วิธี ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ช่วยบำรุงผิวพรรณผ่องใส

Fruit

 

ดีท็อกซ์ คือ การล้างพิษ การล้างพิษมีหลายวิธี ได้แก่ การอาบน้ำ การอบ การนวด ร่างกายขับเหงื่อออกทางผิวหนัง ก็เป็นการล้างพิษ ขจัดเอาพิษออก และการสวนล้างลำไส้ ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล อีกทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณผ่องใส เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี กระบวนการล้างพิษ ล้างพิษในร่างกาย ที่จะทำให้มีสุขภาพที่ดี จำเป็นต้องบำรุงรักษาทั้งร่างกายและจิตใจจึงควรล้างพิษผ่านวิธีทั้ง 5 ได้แก่

1. กิน…ล้างพิษ

         สามารถหลีกเลี่ยงอาหารมีพิษได้ง่ายๆ โดยงดเว้นอาหารหมักดอง อาหารขัดขาวหรือฟอกสี รวมไปถึงอาหารสำเร็จรูป แล้วเลือกกินผักสด เลือกแบบไม่มีสารปนเปื้อนหรือล้างเอายาฆ่าแมลงออกให้หมดยิ่งประเสริฐ กินข้าวกล้อง ข้าวมันปูแทนข้าวขาว น้ำตาลทรายแดงแทน น้ำตาลขัดขาว ที่สำคัญกินอาหาร โดยที่ไม่เลือกกินเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล มากจนเกินไป

         แต่สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย มีทางเลือกง่ายๆ คือปั่นน้ำผัก น้ำผลไม้ดื่มเป็นประจำ ก็ช่วยล้างพิษได้ค่ะ (แต่ควรทานตอนท้องว่างนะค่ะ ไม่ควรทานหลังอิ่มข้าวใหม่ๆ เพราะข้าวจะไปขัดขวางการดูดซึม)

2. อด…ล้างพิษ

         มีคำกล่าวว่า “คนกินมากก็ป่วยมาก” คนเราป่วยเพราะกินมีเพิ่มขึ้นจริงๆ ค่ะ การล้างพิษวิธีที่สองจึงชักชวนให้หันมาอดล้างพิษกันดูบ้าง ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่า มนุษย์เราสะสมพลังงานในรูปไขมันและพลังงานไว้เพียงพอต่อการอดอาหารประมาณ 1-2 วัน ได้โดยไม่เจ็บป่วยเชียวนะ

ข้อดีของการอด
         คือลดการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะก็ไม่ต้องย่อยอาหาร ลำไส้ก็ไม่ต้องดูดซึม อวัยวะภายในอื่น ๆ ก็จะทำงานน้อยลงซึ่งหากคนเราใช้งานกระเพาะหรืออวัยวะภายในส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป ร่างกายก็จะสร้างสารพิษที่เรียกว่า มะเร็ง นั่นเองค่ะ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มอดอาหาร สามารถเริ่มต้นด้วยการกินผลไม้ หรือน้ำผลไม้ตลอดทั้งวันก่อนก็ได้ แต่ก่อนการอด ควรจะให้แพทย์ ตรวจร่างกายก่อน และในวันที่อดอาหารก็ไม่ควรทำงานหนักด้วยค่ะ

3. ฝึกลมปราณ เพื่อขจัดพิษออก

         โดยปกติคนเราจะหายใจช่วงสั้นและตื้นไม่ได้ใช้ความสามารถของปอดที่สามารถขยาย และหดอย่างเต็มที่ จึงทำให้ปอดไม่ได้หายใจเอาอากาศดี เข้าและขับอากาศเสียออกจากร่างกายอย่างเต็มที่ ปอดจึงไม่สามารถฟอกโลหิต ให้สดใสสมบูรณ์ดีเท่าที่ควรเป็นผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย

         การฝึก “ ลมปราณ ” จะช่วยป้องกันและรักษาท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ และการฝึกลมปราณก็ต้องอาศัยการฝึกจิตให้สงบก่อน การฝึกลมปราณนี้ก็คล้ายกับการฝึกสมาธิ ต่างกันเพียงแต่ฝึกสมาธิทั่วไป ไม่ได้เน้นหนักให้หายใจลึก แต่ฝึกลมปราณ เน้นหนักให้หายใจลึก ๆ ด้วยใจที่เป็นสมาธิ พอมีจังหวะ 5-10 นาที เราก็สามารถเดินลมปราณ โดยไม่จำเป็นต้องหลับตาเพียงแต่ค่อยๆ ถอนหายใจให้ลึกตามแบบฝึกลมปราณด้วยสมาธิ อันจดจ่อกับลมหายใจเข้าออก เมื่อฝึกจนคล่องตัวแล้ว เวลาอากาศหนาวๆ เราก็เดินลมปราณสักครู่หนึ่ง ก็จะเพิ่มความอบอุ่นในร่างกายขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นหวัดได้ง่ายด้วย การฝึกลมปราณอยู่เสมอ ยังเป็นการรักษาโรคปวดเมื่อยตามเอ็นตามข้อ

4. ฝึกสมาธิ… ล้างพิษในใจ

         คนที่ฝึกสมาธิได้ระดับหนึ่งร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขออกมาค่ะ และเมื่อร่างกายสงบ เกิดสมาธิ หัวใจจะเต้นช้าลง ลมหายใจที่เคยสั้นเพราะเครียดก็จะยาวขึ้น เมื่อควบคุมลมหายใจได้ทำให้ปอดขยาย ร่างกายก็สามารถปรับออกซิเจนได้มากขึ้น เกิดกระบวนการ เผาผลาญไขมัน ลดการอักเสบในระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากขึ้น แถมทำให้คลื่นสมองเป็ ระเบียบ ช่วยให้มีความจำดีขึ้น

         ความเครียดของมนุษย์ทำให้เกิดโรคภัยมากมาย โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำให้ภูมิคุ้มกันภายในลดลง และทำให้เกิดเชื้อไวรัสและการติดเชื้อต่างๆ พร้อมกับทำให้ลุกลามไปมากขึ้น

        ดังนั้น เมื่อทราบสาเหตุดังกล่าวว่าโรคทางกายนั้นเกิดจากโรคทางใจ วิธีเดียวที่จะบำบัดภาวะดังกล่าว คือ การทำวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญสติและฝึกสมาธิ โดยสามารถทำให้เกิดปัญญา ซึ่งจะช่วยรักษาโรคร้ายทางกายของเราได้

         ที่ต่างประเทศมีการทดลองว่าในภาวะที่กำลังเข้าสู่สมาธิ หรือในสภาวะที่ถูกสะกดจิตให้สงบมาก ๆ นั้น ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน ในร่างกายน้อยลง จะทำให้หัวใจ การหายใจ และชีพจรโลหิตทำงานช้าลง ทำให้การเผาผลาญเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และการเกิดสารอนุมูลอิสระลดน้อยลงด้วย โดยจะทำให้การก่อเซลล์มะเร็ง และการเกิดโรคร้ายก็จะน้อยลง

5. สวนลำไส้…ล้างพิษ

         การสวนล้างลำไส้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารของคนปัจจุบัน อาทิ การกินอาหารขัดสี หรือมีกากใยน้อย ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ดีเพิ่มสารพิษให้ร่างกาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บป่วย

         หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาผลจากการเปลี่ยนอาหารการกินเป็นแบบตะวันตก การใช้ชีวิตและกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เปลี่ยนไปมาก ผู้คนจึงเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นหนึ่งในโรคเหล่านั้น ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ขอบคุณที่มาจาก www.morkeaw.net

 

แบ่งปันข่าวสาร Like & Share ให้ด้วยนะค่ะ