จับแก็งล็อคประมูลทั่วภาคกลาง มูลค่าเสียหาย 300 ล้าน
จับแก็งล็อคประมูลทั่วภาคกลาง มูลค่าเสียหาย 300 ล้าน
[gn_highlight bg=”#a2ff99″ color=”#000000″]มิจฉาชีพมาหลายแบบ หลายวิธีการโกงกิน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดก็สามารถจับแก็งล็อคประมูลได้ มูลค่าความเสียหายเกือบ 300 ล้านบาท[/gn_highlight]เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยร.ต.อ.เขตรัฐ ชาญศิลป์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล (ศปอ.) นายวสวัต ชวลิตธำรง ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาค1 (ศปพ.ภ.1) แถลงจับกุมผู้ต้องหา 5 รายคดีฮั้วประมูลขุดลอกคลองสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วยนายกฤศ สุทัศน์ อายุ 34 ปี นายทยากร หนูเย็น อายุ 32 ปี นายภูวนัยน์ มาลัยนาค อายุ 30 ปี นายรณภพ เกียไธสง อายุ 23 ปี และนายบรรเจิด จำนงศิลป์ อายุ 43 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืน 2 กระบอก และเงินสด 177,000 บาท โดยจับกุมได้ที่บริเวณปั้มน้ำมันปตท. ริมถนนสายเลี่ยงเมือง หมู่1 ต.นาโฉง อ.เมือง จ.สระบุรี
พ.ต.อ.ญาณพล กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สืบทราบว่าจะมีกลุ่มบุคคลร่วมกันฮั้วประมูลในโครงการขุดลอกคลองสาธารณะประโยชน์ ในพื้นที่ จ.สระบุรี ของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จ.สระบุรี วงเงินงบประมาณ 1,959,300 บาท กำหนดยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 2 ส.ค. เวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่จึงได้แฝงตัวเป็นผู้รับเหมาเข้าไปร่วมยื่นซองประมูลด้วย แต่ปรากฏว่าพบกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 10 คน จับกลุ่มยืนอยู่ภายในศาลากลางจังหวัด บริเวณสำนัก ปภ. โดยมีพฤติการณ์กีดกันขัดขวางมิให้บุคคลอื่นเข้าไปขอรับแบบเสนอราคา หากผู้รับจ้างรายใดสามารถเข้าไปรับแบบเสนอราคาได้ ก็จะมีนายหน้ามาขอทราบรายละเอียดชื่อบริษัทและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อเพื่อเจรจาให้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับการไม่ยื่นซองสอบราคา หรือหากยื่นซองสอบราคาแล้วก็จะต้องไปถอนซองสอบราคา โดยเสนอเงินให้เป็นค่าตอบแทน
พ.ต.อ.ญาณพล กล่าวอีกว่า เมื่อครบกำหนดเวลายื่นซองสอบราคาแล้ว ผู้จัดให้มีการฮั้วประมูลได้นัดหมายให้ผู้ร่วมยื่นซองทุกรายไปรับเงินที่บริเวณปั้มน้ำมัน ปตท. จุดนัด เจ้าหน้าที่พบกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย กำลังจ่ายเงินค่าตอบแทนประมาณ 3,000 – 6,000 บาท โดยนายกฤศเป็นผู้จัดการนำเงินมาจ่ายให้กับผู้ที่ไม่ได้ยื่นซองสอบราคา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวและเข้าจับกุมพร้อมของกลางดังกล่าว ทั้งนี้จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนอาวุธปืนนั้นตรวจยึดได้ภายในรถยนต์ของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นปืนที่มีทะเบียนถูกต้อง แต่ผู้ต้องหาให้การว่าไม่ใช่ของตนเอง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ไม่ได้นำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวด้วย เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาทางทนายความของผู้ต้องหาได้ประสานติดต่อเพื่อไม่ให้นำตัวผู้ต้องหามาร่วมการแถลงข่าว เพราะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า ยังมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย ซึ่งเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้ต้องหา และทำตัวเป็นผู้จัดการฮั้วประมูลในพื้นที่ภาคกลางหลายร้อยโครงการ รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท โดยในวันที่ 5 ส.ค. ดีเอสไอจะทำหนังสือไปยัง ผวจ.สระบุรี เพื่อขอให้ยกเลิกเสนอการประกวดราคาในโครงการนี้ และจะสืบสวนขยายผลตรวจสอบโครงการประมูลอื่นๆต่อไปด้วย
“แม้ว่าโครงการนี้จะมีงบประมาณไม่มากเพียงแค่ 1.9 ล้านบาท แต่ก็มีการยื่นประมูลกันเกือบทุกวันในพื้นที่ภาคกลางหลายจังหวัด และไม่ต้องผ่านการตรวจสอบเพราะว่างบประมาณน้อยจึงเป็นช่องทางได้ง่าย ส่วนกลุ่มผู้ต้องหาก็ทำหน้าที่จัดการฮั้วประมูลกีดกัดไม่ให้ผู้รับเหมารายอื่นยื่นเสนอราคาได้ จึงถือว่าเป็นการเผางบประมาณของประเทศชาติ ที่สำคัญคือเมื่อมีการนำเงินงบประมาณมาจัดสรรให้กับผู้ร่วมขบวนการฮั้วแล้ว ทำให้งบเหลือน้อยลง ดังนั้นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือเมื่อเงินเหลือน้อยก็มักไม่ทำงานตามสัญญา และรอให้เกิดเหตุซ้ำก็เข้าไปประมูลงานอีก” พ.ต.อ.ญาณพล กล่าว
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา ร่วมกันให้เงินแก่ผู้อื่นเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคา ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีต่อไป
Credit: เดลินิวส์