ท่องเที่ยวประเทศพม่า

ท่องพม่า  ๑

เฮียหั่งกับหมอแต๋ว

เฮียหั่งกับหมอแต๋วเมื่อ 14 ปีที่แล้วที่ประเทศพม่า

                         ชีวิตผมในวัยเด็ก  ผมจะข้ามไปมาหาสู่เมียวดีของพม่าเป็นว่าเล่น  เมื่อครั้งสามสี่สิบปีที่ผ่านมาในวัยหนุ่มฉกรรจ์  ครั้งยังเป็นนักข่าวจอมบู๊ก็ข้ามพม่า  ไปมาในเขตยึดครองของกะเหรี่ยงอยู่นานหลายปี  สมัยวัยซนก็เดินท่อม ๆ  ไปกับคณะของคุณลุงส่างโท้  กาวินำ  จากแม่สอดไปยังเมืองมะละแหม่งเมืองท่าของพม่า  กว่าจะถึงก็หลายคืนหลายวัน  ในขณะนั้นเมืองมะละแหม่งยังคึกคักอยู่แม้ว่าฝรั่งมังค่าจะไปจากพม่าแล้วก็ตามที  ความเจริญรุ่งเรืองของพม่าในยุคนั้น  ยังจำติดหูติดตาผมมาตลอดจนเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา  ผมได้มีโอกาสไปเยือนอีกที  ก็เหมือนเมืองที่ถูกทอดทิ้ง  ต้นฉบับนี้ด้วยความล่าช้าเพราะมัวไปเยือนพม่า       อยู่หลายวัน  ก็ถือโอกาสเอาเรื่องของพม่ามาเล่าสู่กันฟัง  ผมไปเยือนพม่าเป็นเรื่องเป็นราวครั้งนี้  ก็เป็นครั้ง   ที่ 3 แล้ว  ครั้งแรกติดตามคณะของท่านเกษม  วัฒนธรรม  และสื่อมวลชนจังหวัดตาก  ในฐานะแขกของพม่าและสถานทูตไทยประจำพม่า  เป็นรุ่นสำรวจฯก่อนที่เราจะสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า  ครั้งที่  2  ผมกับหมอแต๋วติดตามไปกับคณะของท่านอุดร  ตันติสุนทร  นำพ่อค้าข้าราชการและสื่อมวลชน  ท่องพม่าโดยรถยนต์จากแม่สอด-เมียวดีสู่เมืองย่างกุ้ง  ทั้งสองคณะนี้ทำให้ผมได้ผจญภัยไปกับการเดินทางที่สุดมันจริง ๆ ตะรอน ๆ  ไปยังเมืองมัณฑเลย์-เมืองพุกามที่ต้องรอนแรมผ่านป่าเขาลำเนาไพร  เต็มไปด้วยโขดหินกับท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยทะเลทราย  นาน ๆ  ครั้งเราจะเจอกับต้นไม้เพียงต้นสองต้น  เราจะผลัดเปลี่ยนกันพักในร่มเงาของต้นไม้นั้น  ข้าวเช้าของเราปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง  มื้อเที่ยงและมือเย็นรวมยอดกันที่ตีสองหรือประมาณ   ตีสาม  ผมอยู่กับรถนำขบวนที่ไม่เคยยอมนอนหลับสักครั้งในการเดินทาง  พอเห็นแสงไฟริบหรี่ ๆ  อยู่ไกล ๆ  ผมบอกให้คนขับพุ่งไปยังแสงไฟนั้นปรากฏว่าเป็นเพิงร้านค้ามีแม่ค้าผิวดำกำลังปรุงอาหารอยู่  ท่านครับ…  อุ๊บไก่ที่มันหยด  เป็นอาหารมื้อเที่ยง  และมื้อเย็นที่แสนอร่อย  ผมเป็นคนแรกที่เปิบด้วยมือ  ถ้าจำไม่ผิดผู้ใหญ่จันทร์เพ็ญ  หรือรองนายกจันทร์เพ็ญ  แห่งท่าสายลวดนี่แหละที่บอกผมว่า  อุ๊บไก่มื้อนี้อร่อยม๊ากมาก..เหมือนกับคณะของท่านอุดร  คณะของเราไปติดแหง็กที่ท่าเรือจ่องโด  ผมเองก็บรรเลงเปิบอุ๊บกุ้งด้วยมืออย่างเอร็ดอร่อยก่อนเพื่อน  อุ๊บกุ้งอุ๊บไก่แถวท่าเรือจ่องโดจึงขายดีเหมือนเทน้ำเทท่าจริง ๆ  ( คณะนี้  117  กว่าชีวิตที่ติดตามกองคาราวานท่านอุดร )

                        สำหรับทริปนี้โชคดีครับที่ผมและหมอแต๋วคู่ชีวิต  ได้เดินทางไปกับคณะของสาธารณสุขจังหวัดตาก  นำโดยท่าน  สสจ.ตาก  ท่านปัจจุบัน  เหมหงษา  นำคณะของเรารวม  44  ชีวิตทัศนศึกษาและทำบุญลูกเดียวกับเมืองย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑเลย์  เป็นคณะทัวร์ที่แสนสบายกับสายการบินจากกรุงเทพฯ-ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑเลย์-และเฮโฮ  เรานั่งเครื่องไปกลับอย่างแสนสบายที่สุด  คณะของเราได้สักการะยังวัดวาอารามต่าง ๆ  มากมาย  พระธาตุเจดีย์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกือบจะครบครัน  เป็นการท่องเที่ยวที่มีโอกาสร่วมทำบุญสร้างกุศลอย่างอิ่มเอมและสนุกสนาน  ที่พักกับอาหารการกินผมถือว่าสุดยอดจริง ๆ  ที่ต้องขอบคุณ  ท่าน  สสจ.ตาก  คุณตฤณและน้องแบ้งค์ของทรีซีซั่นส์  ผู้บริหารของบริษัทเป็นผู้นำเที่ยวด้วยตนเอง  กับไกด์หนุ่มที่เป็นสารานุกรมฉบับพม่ารามัณชื่อ  หนุ่มบุญยืน  นำเที่ยวแบบจุใจจริง ๆ  เมืองพุกามเป็นคำรบสามแล้วที่ผมได้ไปเยือน  มีเจดีย์ที่เก่าแก่น่าชวนสักการะนับพัน ๆ  องค์  คราวนี้ได้ไปสักการะ  พระอึดอัด  ของวัดเก่ามนูหะพญา  ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้เคล็ดให้กับผู้มากราบไหว้บูชา  ให้คลายจากเรื่องราวต่าง ๆ  ที่อึดอัดใจ  ผมได้เยือนเมืองหงสาวดี  กราบสักการะพระธาตุเจดีย์ชเวมอดอร์  หรือพระธาตุมุเตา  ( 1  ใน  5  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า )  ที่ยอดฉัตรและปลีพระธาตุหักตกลงมาเมื่อครั้งพม่าเกิดแผ่นดินไหว  ปลีพระธาตุกลับไม่แตกหักอย่างน่าอัศจรรย์  เราได้กราบสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากอง  เราทุกคนได้สรงน้ำพระประจำวันเกิด  และอธิษฐานจิตเพื่อเสริมบารมี  เราอยู่ที่นี่จนพลบค่ำ  แสงสีและท้องฟ้ายามราตรีทำให้เหมือนกับว่า  เราทุกคนกำลังท่องอยู่บนแดนสวรรค์ปานนั้น  ที่ทำให้หมอแต๋วเกือบอ้วกแตกก็คือรถยนต์ที่ขับวกวนไปมาบนยอดเขามัณฑเลย์ซึ่งพระวิหารหลังใหญ่  ได้บรรจุพระบรมธาตุสามพระองค์ของพระพุทธเจ้าไว้  ที่นี่บรรยากาศของตะวันกำลังลับขอบฟ้าจะสวยงามมาก  ที่น่าทึ่งมากก็คือบันไดเลื่อนที่ทันสมัยไปจนถึงยอดเขา  แต่เวลากลับให้ทุกคนเดินลงบันไดเข้าท่าดีเหมือนกัน

                        ไฮไลของทริปนี้ก็คือได้ชมความงามของทะเลสาบอินเล  ชมวิถีชีวิตของชาวอินทา  ที่อาศัยอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบ  ได้สัมผัสชีวิตการหาปลาแบบชาวอินทา  โดยใช้เท้าพายเรือขาเดียว  บริเวณนี้มีสำนักสงฆ์ที่รวมของพระพุทธรูปสำคัญ ๆ  ไว้เป็นจำนวนมาก  เป็นวัดสร้างด้วยไม้สักขนาดใหญ่ทั้งหลัง  ประกอบด้วยเสาไม้  654  ต้น  สร้างในปี  ค.ศ.1205  สมัยพระเจ้ามินดง  เป็นที่น่าเสียใจและเสียดายที่คณะของเราไปวัดนี้ในเวลาที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสซึ่งมีเชื้อสายไทยใหญ่  ได้ละสังขารล่วงพ้นชาวบ้านได้ทำพิธีฌาปนกิจศพของท่านวันนั้นพอดี  ที่น่าเสียดายก็เพราะท่านสนิทสนมกับไกด์บุญยืนของเรามาก  เราเลยอดชมแมวกระโดดลอดห่วงของวัดนี้ไปกับบริเวณใกล้เคียงกันก็เป็นวัดผ่องต่ออูกลางน้ำ  ที่ผมปรารถนาอยากสัมผัสกราบไหว้ปิดทองพระบัวเข็มผ่องต่ออู  พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่แกะสลักจากไม้จันทร์หอมอายุนับพัน ๆ  ปี  5  องค์แต่ละองค์สูงเพียง  6  ซม.  เท่านั้น  แต่ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสของชาวบ้าน  ที่มาปิดทองจนใหญ่กว่าเดิมถึง  6  เท่า  เหมือนกับมหาเมียะมุนี  ( 1  ใน  5  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า )  ที่เป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่  ทรงเครื่องกษัตริย์  ได้รับขนานนามว่า  พระพุทธรูปทองคำเนื้อนิ่ม  ซึ่งมีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สืบทอดกันมา กว่า  200  ปีแล้วก็คือ  พิธีล้างหน้า  พระพักตร์พระมหาเมียะมุนี  ที่ชาวพม่าเชื่อว่า  พระพุทธองค์ที่ยังมีลมหายใจอยู่  ทองคำเปลวที่ชาวบ้านปิดไว้กับองค์พระวันแล้ววันเล่าทำให้หนาเกือบ  3  นิ้ว  เมื่อสัมผัสแล้วจึงนิ่มเหมือนกับเนื้อหนังของคนเรา  ผมโชคดีที่ได้สัมผัสนมัสการ  ปิดทองคำเปลวถวายท่านมากมายหลายแผ่น  ทั้งของผมและสุภาพสตรีที่ไปสักการะแต่ไม่มีโอกาสได้ไปกราบไหว้ท่านบนฐานด้านบน  จนพี่หม่องคงจะรำคาญผมว่า  ได้หมอนี่ทำไม (มัน) ปิดทองนานจังเลย(วะ)

                                                                                                    ชัย  เมืองฉอด

แบ่งปันข่าวสาร Like & Share ให้ด้วยนะค่ะ