แม่มะกันใจยักษ์ ปล่อยลูกสาวอดอาหารจนพิการ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  amazonaws.com

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก amazonaws.com

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  amazonaws.com

เมื่อเห็นภาพนี้ มีใครพอจะเดาออกบ้างไหมว่าเด็กคนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว? นี่คือภาพของ ดาร์ลีน อาร์มสตรอง เด็กสาวชาวอเมริกัน จากรัฐอิลลินอยส์ ที่เพิ่งจะอายุ 17 ไปเมื่อไม่นานมานี้ เธอเกิดมาอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่ทว่าสภาพร่างกายของเธอตามภาพนี้ ไม่ต่างไปจากเด็กพิการเลยแม้แต่นิดเดียว

รายงานจากเว็บไซต์เดลิเมล วันที่ 11 มิถุนายน ระบุว่า ภาพดังกล่าว คือภาพของ ดาร์ลีนขณะเพิ่งถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่โรงพยาบาลเด็ก ลา ราบิด้า ในเมืองชิคาโก เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยในตอนนั้นเธออายุ 16 ปี แต่มีน้ำหนักเพียง 23 ปอนด์ หรือแค่ 10.5 กิโลกรัม กับส่วนสูงเพียง 116 เซนติเมตรเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น จากการอดอาหารและขาดสารอาหารจำเป็นเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ร่างกายของเธอเสื่อมโทรม ไม่สามารถเดิน หรือขยับแขนขาได้สะดวก แม้กระทั่งการพูดก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องกลายสภาพเป็นผู้ทุพพลภาพไปโดยปริยาย

ผู้ที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็หาใช่ใครที่ไหน แต่เป็น นางโรเซตต้า แฮร์ริส มารดาแท้ ๆ ของเธอ ประกอบกับสภาพของเธออาจไม่รุนแรงเช่นนี้ หากหน่วยงานเพื่อเด็กและครอบครัวประจำรัฐอิลลินอยส์ กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเธอตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อมีเพื่อนบ้านรายหนึ่งโทรศัพท์ฉุกเฉินแจ้งให้มาช่วยเหลือดาร์ลีนตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ว่ามีเด็กสาวอยู่ในบ้านและท่าทางไม่ได้กินอาหารมาหลายวันมากแล้ว แต่การช่วยเหลือก็ไม่ดำเนินถึงที่สุด เมื่อเจ้าหน้าที่เพียงไปเคาะประตูหน้าบ้านเพื่อถามหาตัวนางแฮร์ริสและเด็กสาว แต่เมื่อน้องชายของนางแฮร์ริสมาเปิดประตู และบอกไปว่าแฮร์ริสและดาร์ลีนไม่อยู่ที่นี่ เจ้าหน้าที่ก็จากไปง่าย ๆ โดยไม่มีการขอเข้าตรวจค้น หรือดำเนินการอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่อย่างใด

เรื่องความเพิกเฉยต่อการดำเนินการช่วยเหลือของหน่วยงานเพื่อเด็กและครอบครัว ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาโดยการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ชิคาโกทริบูน ซึ่งกล่าวว่า หากทางหน่วยงานได้รับโทรศัพท์ฉุกเฉิน จะต้องดำเนินการทันทีภายใน 24 ชั่วโมง และเมื่อไปถึงบ้านแต่ไม่พบตัวผู้ต้องการความช่วยเหลือหรือผู้ต้องสงสัย ก็สมควรที่จะต้องกลับไปทุก ๆ วันจนกว่าจะพบ รวมทั้งตามหาเบาะแสอื่น ๆ ด้วย แต่ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ได้รับโทรศัพท์ฉุกเฉินแจ้งเรื่องของดาร์ลีนนั้น เขากลับไปยังบ้านของดาร์ลีนเพื่อตามหาเธอแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และครั้งสุดท้ายในเดือนมีนาคม ซึ่งครั้งสุดท้ายนี้เอง ที่เจ้าหน้าที่ได้พบตัวของเด็กสาว โดยในตอนแรกนางแฮร์ริสบอกว่า ลูกสาวของเธอไม่อยู่ที่บ้าน แต่พลันเจ้าหน้าที่ก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของเด็กสาว ในที่สุดแม่ของเธอก็ยอมรับ และอุ้มลูกสาวที่แขนขาลีบ ร่างกายผ่ายผอมออกมา และยอมมอบตัว

อย่างไรก็ตาม ในคำให้การระบุว่านางแฮร์ริสสำนึกผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ปล่อยให้ลูกสาวอยู่ในสภาพเจียนตาย แต่เนื่องจากไม่มีประวัติความผิดฐานอาชญากรรมมาก่อนหน้า จึงได้รับโทษเพียงการคุมประพฤติ 18 เดือน และเข้ารับการอบรมบทบาทของผู้ปกครองเท่านั้น นอกจากนี้เธอยืนยันกับทางโรงพยาบาลที่รับดาร์ลีนเข้ารักษาตัวด้วยว่า เธอพยายามดูแลลูกสาวอย่างดีที่สุดแล้ว เธอให้ดาร์ลีนกินไข่และปลายข้าวเป็นอาหารเช้า รวมทั้งข้าวตุ๋นกับเนื้อไก่ เครื่องดื่มเสริมโปรตีนรสช็อกโกแลต และของว่างขบเคี้ยวในระหว่างวัน แต่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลไม่เชื่อคำให้การของเธอ และเมื่อถามเธอกลับว่า ดาร์ลีนได้ออกจากบ้านหรือมาหาหมอเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เธอก็ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำ ทางโรงพยาบาลเองได้วินิจฉัยอาการของดาร์ลีนว่า น่าจะเกิดจากการไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่กระนั้นก็ยังมี เดลิเชีย อาร์มสตรอง ลูกสาวคนโตสุดวัย 23 ปี ที่ยังคงยืนยันว่าแม่ของเธอพยายามอย่างดีที่สุดแล้วในการเลี้ยงดูน้องเช่นกัน

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ชิคาโกทริบูนยังสืบประวัติของนางแฮร์ริสย้อนไปอีกว่า ในปี 1996 หน่วยงานเพื่อเด็กและครอบครัวประจำรัฐอิลลินอยส์ ได้รับดาร์ลีนซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 1 ขวบกับพี่น้องของเธอเข้ามาดูแล เนื่องจากได้รับโทรศัพท์รายงานจากเพื่อนบ้านของแฮร์ริสว่า เธอไม่ได้ให้เด็กหญิงกินอาหารอย่างถูกต้องสมกับวัย ก่อนที่ดาร์ลีนจะได้กลับไปอยู่กับแม่อีกครั้งเมื่อตอน 3 ขวบ และในปี 2000 ที่ผ่านมานางแฮร์ริสก็ให้ดาร์ลีนออกจากโรงเรียน เนื่องจากเธอต้องการให้ลูกสาวอยู่แต่ที่บ้านเท่านั้น และกว่าที่ดาร์ลีนจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่าเธอต้องผ่านอะไรมาอีกบ้าง

ตอนนี้ดาร์ลีนซึ่งอยู่ในความดูแลใกล้ชิดของแพทย์ เริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนน้องสาววัย 15 ปี ที่ไม่ได้ถูกอดอาหารจนผอมแห้งพิการเช่นเธอ ก็ถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์และคุ้มครองเด็ก อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวไม่ได้ระบุว่าสุดท้ายแล้วเธอและน้องจะต้องกลับมาอยู่ในความดูแลของนางแฮร์ริสผู้เป็นแม่อีกหรือไม่ ..

Credit by Kapook

แบ่งปันข่าวสาร Like & Share ให้ด้วยนะค่ะ