แชร์ลูกโซ่ โดนตุ๋นหมดเงินเป็นแสน

เหยื่อแชร์ลูกโซ่โดนตุ๋นหมดเป็นแสน

เหยื่อแชร์ลูกโซ่โดนตุ๋นหมดเป็นแสน

ธุรกิจบางครั้งไม่ได้หาเงินง่ายขนาดนั้น  จึงทำให้มีผู้หลงเชื่อ  ตกเป็นเหยื่อของแก๊งค์ต้มตุ๋นได้เป็นอย่างดี  เพราะอยากลงทุนน้อย  ได้กำไรมาก  ไม่อยากลำบาก  อยากทำงานสบาย  แต่หารู้ไม่ว่างานทุกงานต้องทำด้วยความตั้งใจ  เหน็ดเหนื่อย  ถึงจะคุ้มค่ากับเงินที่เราได้รับมา  ไม่มีงานสบายที่ลงทุนน้อย  แล้วรวยเป็นล้าน

วันนี้ (4ก.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กลุ่มสมาชิกธุรกิจเครือข่ายของบริษัทแห่งหนึ่งกว่า 30 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์ขอให้ช่วยตรวจสอบการดำเนินกิจการของบริษัทนี้ว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ เนื่องจากขณะนี้มีผู้ใช้แรงงานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือบางส่วนตกเป็นเหยื่อต้องกู้หนี้ยืมสิน นำที่ดินของครอบครัวไปจำนองเพื่อนำเงินมาลงทุนในวงจรธุรกิจลักษณะนี้

น.ส.นิด (นามสมมติ) อายุ 27 ปี ชาว จ.หนองบัวลำภู หนึ่งในสมาชิกธุรกิจเครือข่ายของบริษัทฉาว เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่โรงงานบริษัทรถยนต์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ต่อมาได้มีเพื่อนซึ่งทำธุรกิจเครือข่ายกับบริษัทนี้มาชักชวนให้ร่วมทำธุรกิจโดยบอกว่าลงทุนเล็กน้อยแต่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทั้งชีวิต จึงเกิดความสนใจเพราะต้องการช่วยเหลือครอบครัวหาเงินมาไถ่ถอนที่ดินกว่า 20 ไร่ที่ติดจำนองอยู่

น.ส.นิด กล่าวต่อว่า เพื่อนที่มาชักชวนบอกว่าหากจะทำธุรกิจนี้ต้องเข้ารับการอบรมก่อนโดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลใกล้ชิด จากนั้นเพื่อนได้พาไปอบรมที่สำนักงาน เสียค่าอบรม 300 บาท ช่วงแรก ๆ บริษัทจะจัดคนที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้มาก ๆ มาพูดจูงใจ ฟังบ่อยๆเข้าจะเหมือนถูกล้างสมอง และเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ แต่ละคนที่มาเป็นสมาชิกนั้นล้วนเป็นคนใช้แรงงาน หาเช้ากินค่ำที่อยากจะมีฐานะดีขึ้นทั้งนั้น

น.ส.นิด กล่าวว่า เมื่อหลงเชื่อเพื่อนที่เป็นพี่เลี้ยงก็จะให้หาเงินมาลงทุน โดยวิธีการระดมทุนนั้นเขาจะแนะนำให้พูดคุยกับคนที่เรารักหรือคนในครอบครัว ซึ่งช่วงนั้นหลงเชื่อจึงนำที่ดินติดจำนองธนาคารไปจำนองกับนายทุนเงินกู้ได้เงินมา 4.4 แสนบาท แต่เสียดอกเบี้ยร้อยละ 5 เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งก็นำไปใช้หนี้ธนาคารที่ก่อนหน้านี้จำนองที่ไว้ ส่วนที่เหลือก็นำมาลงทุนในธุรกิจนี้ใช้เงินไป 212,300 บาท ได้รับสินค้าคล้าย ๆ น้ำมันและตะเกียงมาหลายชุด แต่ไม่ได้นำไปขาย พี่เลี้ยงแนะนำให้เก็บไว้เพื่อขายให้คนที่เราชวนมาเป็นเครือข่าย ทำงานนี้มาเกือบ 7 เดือน ต้องไปที่สำนักงานทุกวัน หยุดวันอาทิตย์วันเดียว และหาเครือข่ายได้รายเดียวเท่านั้น ได้เงินคืนมา 4 หมื่นกว่าบาท

“ทุกวันจะถูกพูดกรอกหูให้หาทุนหาเครือข่ายอยู่ตลอดเวลา และได้ทราบจากคนอื่นว่าต้องกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนคนละ 200,000 บาท เพื่อนำเงินมาหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่าสองหมื่นคนเป็นผู้ใช้แรงงานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ จ.อุบลราชธานี และนครราชสีมา มีเยอะมาก ทุกวันนี้กำลังเดือนร้อนเพราะหนี้สินที่ไปกู้ยืมมาลงทุน นานวันเข้าชักกลัวจะไม่ได้รับผลตอบแทน ก็ไม่อยากให้คนอื่นตกเป็นเหยื่อ จึงมาร้องทุกข์ในที่สุด” น.ส.นิด กล่าว

ภายหลังรับเรื่อง พ.ต.อ.ประสพโชค สั่งให้ทีมงานประสานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งได้รับแจ้งว่าขณะนี้ทางดีเอสไอได้รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษแล้วและอยู่ในระหว่างการสอบสวน ตำรวจ บก.ป.จึงให้กลุ่มผู้เสียหายเข้าไปร้องทุกข์ครั้ง เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานนำไปประกอบการสอบสวนเพิ่มเติมกับทางดีเอสไอต่อไป.

แบ่งปันข่าวสาร Like & Share ให้ด้วยนะค่ะ