เผยผู้เสียหายจากตู้ ATM มูลค่ากว่า 7 แสนบาท

เผยผู้เสียหายจากตู้ ATM มูลค่ากว่า 700,000 บาท

         จากกรณีที่มีผู้เสียหายเป็นลูกค้าธนาคารทหารไทย สาขาอาคารซีพีทาวเวอร์ 3 ย่านพญาไท เข้าแจ้งความว่าเงินในบัญชีสูญหายจำนวน 8 ราย รวมจำนวนเงินสูญหายทั้งสิ้นกว่า 600,000 บาท ซึ่งทางตำรวจ สน.พญาไท และเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันตรวจสอบ เบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายน่าจะใช้วิธีการสกิมมิ่งคัดลอกข้อมูลแถบแม่เหล็กจากตู้เอทีเอ็ม แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปบันทึกในบัตรปลอม ล่าสุด พบว่าเงินในบัญชีดังกล่าวถูกถอนออกจากตู้เอทีเอ็มในจังหวัดสงขลา ในช่วงระหว่างวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวนทั้งสิ้น 10 ตู้ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น

         เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 เปิดเผยว่า เบื้องต้นทราบว่าผู้เสียหายที่เข้ามาแจ้งความขณะนี้มีทั้งหมด 14 ราย มูลค่าเสียหายประมาณ 700,000 บาท ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับชุดสืบสวน บช.ภ.9 เกี่ยวกับภาพกล้องวงจรปิดที่ จ.สงขลา ซึ่งจากการตรวจสอบเป็นชาย 2 คน มีลักษณะอ้วนและผอม ที่เข้าไปกดเงินตู้เอทีเอ็ม จ.สงขลา ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติหรือไม่ ซึ่งมีข้อมูลจาก บช.ภ.9 ว่ามีแก๊งชาวมาเลเซียในพื้นที่เคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าว ต้องรอผลสรุปจากฝ่ายสืบสวนตรวจสอบ ส่วนจะส่งไปกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) รับผิดหรือไม่นั้น สน.พญาไทยังคงรับผิดชอบอยู่ เนื่องจากยังไม่เข้าเงื่อนไขความเสียหายไม่ถึง 5 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายพื้นที่ เมื่อส่งเข้าไปก็ต้องประสาน บก.ปอศ.พิจารณา

         พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์  กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานไม่ได้มากนัก เนื่องจากทางธนาคารอ้างว่า ธนาคารสาขาไม่สามารถทราบรายละเอียดของบัตรเอทีเอ็มได้ เพราะบัตรเอทีเอ็มออกมาจากจุดอื่น ถ้าสาขาไม่ทราบ แต่ผู้ก่อเหตุใช้เครื่องสกิมเมอร์จุดใดก็ตาม ก็ต้องมีหลายธนาคารตกเป็นเหยื่อ หรือมีจุดที่เกิดเหตุขึ้นอีกหลายจุด แต่ทำไมถึงมีเฉพาะธนาคารทหารไทยเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมสาขาไม่ทราบข้อมูลดังกล่าว หากไม่รู้จริงๆ ก็ต้องทราบว่าใครที่ดูแลหรือรู้ระบบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวนก็จะเรียกพนักงานธนาคาร รวมถึงผู้รับผิดชอบมาสอบปากคำเพิ่มเติมต่อไป

Credit:  มติชน