สหรัฐฯ หนาวจัดต่ำสุด -51 องศาเซลเซียส ระดับอันตรายมาก

สหรัฐ หนาวจัด -51 องศาเซลเซียส

สหรัฐ หนาวจัด -51 องศาเซลเซียส

 

         เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2557 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า สหรัฐฯ เผชิญสภาพอากาศหนาวจัดระดับอันตราย บางพื้นที่ต่ำสุดถึง -51 องศาเซลเซียส ทางการประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายรัฐ เตือนประชาชนอยู่แต่ในที่พักอาศัย เลี่ยงการสัมผัสสภาพอากาศหนาวจัดภายนอกในช่วงนี้

        รายงานระบุว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายรัฐในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวที่สุดในรอบ 20 ปี และมีแนวโน้มจะหนาวที่สุดเป็นประวัติการณ์ในเร็ว ๆ นี้ โดยจากรายงานสภาพอากาศของสำนักงานสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า ในเมืองฟาร์โก รัฐนอร์ธ ดาโกตา อุณหภูมิหนาวเย็นกว่า -25 องศาเซลเซียส, รัฐมินเนสโซตา -35 องศาเซลเซียส, รัฐอินเดียน่าและอิลลินอยส์ -26 องศาเซลเซียส ขณะที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐมอนแทนา หนาวจัดถึงขั้น -51 องศาเซลเซียส ระดับที่น้ำเดือดสามารถกลายเป็นน้ำแข็งระหว่างเทลงพื้นเลยทีเดียว ทำให้หลายเมืองต้องประกาศหยุดเรียนและสำนักงานบางแห่งในวันที่ 6-7 มกราคมนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากสภาพอากาศ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ

บ้านเรือนเต็มไปด้วยหิมะที่เกาะอย่างหนา

บ้านเรือนเต็มไปด้วยหิมะที่เกาะอย่างหนา

          นอกจากสภาพอากาศหนาวเหน็บจะเป็นอันตรายต่อประชาชนแล้ว ในหลายรัฐประชาชนยังไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้ เนื่องจากมีหิมะตกลงมาปกคลุมถนนหนากว่า 1 ฟุต จนทำให้ทางการต้องปิดถนนหลายสาย เช่น รัฐอิลลินอยส์ ทางการได้ประกาศปิดถนนหลังถูกหิมะปกคุลมหนา และเตือนประชาชนให้อยู่แต่ภายในบ้าน

         ส่วนการเดินทางทางอากาศก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย โดยมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา เครื่องบินจากโตรอนโตที่กำลังแลนดิ้งลงจอดที่สนามบินนานาชาติเคนเนดี้ ในมหานครนิวยอร์ก ได้เกิดไถลออกนอกรันเวย์อันมีสาเหตุมาจากหิมะที่ปกคลุมรันเวย์ โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่ก็ทำให้ทางสนามบินหยุดให้บริการไปชั่วคราว เช่นเดียวกับสนามบินอีกหลายแห่งที่ต้องยกเลิกเที่ยวบินรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 2,200 เที่ยว จากอุปสรรคด้านสภาพอากาศ

        ทั้งนี้ สภาพอากาศหนาวจัดระดับอันตรายในสหรัฐฯ ระลอกนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับพายุหิมะอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และนับตั้งแต่อุณหภูมิลดต่ำถึงขั้นที่เรียกว่าภัยหนาว ก็มีผู้เสียชีวิตไปแล้วไม่ต่ำกว่า 16 รายทั่วประเทศ

 

ขอขอบคุณข้อมูล จาก : kapook.com

แบ่งปันข่าวสาร Like & Share ให้ด้วยนะค่ะ