ศึกครั้งสุดท้าย ชี้ชะตาประเทศไทย

ภาพประกอบจาก ASTV

ภาพประกอบจาก ASTV

 

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในที่สุดสาธารณชนก็ได้รับรู้ความจริงกันอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่า หัวใจของผู้ชายที่ชื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และหัวใจของผู้ชายที่ชื่อ“พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารนั้น แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร

กล่าวสำหรับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผลพวงที่ได้รับจากการต่อสู้เพื่อรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ก็คือ การถูกยิงถล่มด้วยลูกปืนกว่า 200 นัด คดีความต่างๆ ที่สารพัดจะได้รับนับร้อยคดี นี่ไม่นับรวมถึงข้อกล่าวหาอันบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะข่าวสำคัญเรื่องการรับเงิน นช.ทักษิณ ชินวัตร

แต่วันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังนำทัพพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาต่อสู้เพื่อมิให้นำ “ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ พ.ศ…” กฎหมายที่จัดทำขึ้นเพื่อฟอกความผิดให้ นช.ทักษิณแห่งรัฐไทยใหม่ รวมทั้งผู้คนของระบอบทักษิณ อันจะทำลายระบบนิติรัฐและระบบยุติธรรมของชาติ

ขณะที่อดีตวีรบุรุษซึ่งประชาชนเคยชื่นชมและแห่แหนนำดอกไม้ไปมอบให้เมื่อครั้งทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน วันนี้ สังคมก็ได้ประจักษ์ชัดแจ้งเช่นกันว่า ธาตุแท้แล้วเป็นคนเยี่ยงไร

ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การที่ “บิ๊กบัง” กระทำการอันทุรยศด้วยการนำเสนอ “ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ พ.ศ….” เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ท่ามกลางความยินดีปรีดาของคนเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และเหล่าข้าทาสบริวารอันซื่อสัตย์ แม้กระทั่ง “เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ลูกชายของนักโทษชายหนีคดีถึงกับออกมาปากชมว่าเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง”

แน่นอน ไม่ต้องสงสัยว่า บิ๊กบังได้อะไรจากการนี้ เพราะคำตอบมีชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่แน่ๆ คือ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงหนัก เพราะเป็นศึกครั้งสุดท้ายที่จะชี้ชะตาประเทศไทย เพราะหากร่างกฎหมายฉบับนี้สามารถผ่านไปได้ ย่อมเสมือนหนึ่งเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะนำไปสู่รัฐไทยใหม่เลยทีเดียว

**“สนธิ ลิ้ม” ขายสมบัติเพื่อชาติ

“มีสองสนธิ คนหนึ่งลูกเจ๊ก อีกคนหนึ่งลูกแขก ที่สำคัญต่างกันตรงที่สนธิหนึ่งขายชาติเพื่อสมบัติ แต่อีกสนธิหนึ่ง ขายสมบัติเพื่อชาติ พี่น้องพันธมิตรฯ คงพิสูจน์ชัดแล้วกรณีข่าวลือว่าสนธิไหนรับเงินจากทักษิณกันแน่ การชุมนุมครั้งนี้ขอต้อนรับมวลชนทุกฝ่ายที่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือต่อต้านการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดและแตะต้องหมวดสถาบันกษัตริย์”

นั่นคือคำกล่าวของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ประกาศต่อหน้ามวลมหาประชาชนในการชุมนุมเพื่อหยุดยั้งร่างกฎหมายปรองดองแห่งชาติ พ.ศ.ที่นำเสนอโดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า

และนั่นคือคำกล่าวที่หลายคนอาจตั้งคำถามและข้อสงสัยในข้อเท็จจริงว่า แกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้ขายสมบัติเพื่อชาติจริงหรือ และทำไมศึกครั้งนี้จึงเป็นศึกครั้งสำคัญถึงกับต้องกล่าวว่าเป็นศึกครั้งสุดท้าย

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็สะท้อนให้เห็นว่า นั่นเป็นคำกล่าวที่มิได้เกินเลยแต่ประการใด

หากยังจำกันได้ เมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 นายสนธิคือสื่อมวลชนที่หาญกล้าสู้กับอำนาจทหารที่ใหญ่คับบ้านคับเมืองขณะนั้นจนเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว

เฉกเช่นเดียวกับการลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบอบทักษิณอันใหญ่โตในช่วงปี 2548 ทั้ง ๆ ที่ถ้าหากเทียบขุมกำลังกันแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุก เพราะขณะนั้น นช.ทักษิณสามารถควบคุมทุกองคาพยพของทุกภาคส่วน แต่ด้วยความจริง และความกล้าที่จะต่อสู้ชนิด “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” ส่งผลทำให้ประชาชนตื่นตัวและตระหนักรู้ในพิษภัยของระบอบทักษิณ จนกลายเป็น “ปรากฏการณ์สนธิ” และนำไปสู่การก่อกำเนิดของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”

อย่างไรก็ตาม หลังสามารถหยุดยั้งระบอบทักษิณได้เป็นผลสำเร็จ เส้นทางชีวิตของนายสนธิก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และต้องต่อสู้กับอุปสรรคนานัปการเหมือนดังเช่นที่เขาได้ปรารภเอาไว้ในการเดี่ยวไมโครโฟนที่สวนลุมพินีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2555

“พี่น้อง 2548 จนถึงวันนี้ 7 ปีเต็มๆ ที่ผมไม่รู้ว่าไปทำอะไรผิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงลงโทษผมให้มายืนตรงนี้ตั้ง 7-8 ปี ให้มาชดใช้เวรชดใช้กรรม ผมทำอะไรผิดพ่อแม่ครูอาจารย์ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ครุฑ นาค พรหม ยักษ์ ผมทำอะไรผิด แต่ผมมีศรัทธาในการทำงาน ผมมีศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ผมจะต้องทำให้ส่วนรวม ให้ชาติบ้านเมือง พี่น้องครับ แต่ว่าสำหรับคนๆ หนึ่ง เดินทางมา 7-8 ปีแบบนี้ โดนคดีความ โดนคดีที่ผู้พิพากษาท่านมีความสุขมากกับการที่ผมผิด 1 เจตนา ท่านเปลี่ยนไปเป็น 8 เจตนา แล้วจำคุกผม 85 ปี ท่านมีความสุขปล่อยให้ท่านมีความสุขไป ผมไม่ว่า แล้วยังผ่านลูกปืนอีก 200 นัด ยังขึ้นศาล แล้ววันที่ 30 นี้ยังจะต้องออกถนนอีกแล้ว”

“พี่น้องครับ สำหรับคนคนหนึ่ง อายุ 65 ปี สู้ให้ชาติบ้านเมืองจนถึงวันนี้ สิ่งที่ผมทำมากเกินกว่าพอแล้วพี่น้อง พี่น้องครับ ออกครั้งนี้ผมจะออกครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าแพ้จะต้องตายคาลูกปืนผมจะตาย ถ้าชนะ ชนะเมื่อไหร่ผมจะล้างมือ แล้วผมจะขอลาออกจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปใช้ชีวิตที่เงียบๆ ไม่ต้องให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาหลอกใช้ผมอีกต่อไป ความขมขื่นของผมมันมีมากกว่าที่ผมจะพูดบนเวทีนี้ มันลึกซึ้งกว่าอะไรก็ตามที่มันลึกไปหมด มันเจ็บช้ำน้ำใจมากกว่าโดนกระบองตี มันเสียดใจ แสบทรวงมากกว่าทุกอย่าง ผมสวดมนต์ภาวนา ทุกวันผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะผมสวดมนต์ภาวนา ผมถามตัวเองว่า ผมทำให้ชาติมากพอหรือยัง ผมบอกว่ายัง ต้อง 30 นี้ก่อน พี่น้องครับ ผมขอบอกพี่น้องก่อน พ้น 30 นี้แล้ว จะแพ้หรือจะชนะ จบอย่างไรก็ตาม ผมต้องปล่อยให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ให้อำมาตย์ ให้หลายคน ที่หลอกใช้ผมอยู่ พรรคการเมืองบางพรรคที่เคยหลอกใช้ ให้รับแผ่นดินนี้เอาไปดูแลต่อไป”

“พี่น้องครับ อย่าโกรธผม ให้เข้าใจผม พี่น้อง ผมสู้ตั้งแต่ 58, 57 ผม 65 แล้วพี่น้อง ผมไม่ได้มีชีวิตอย่างเหมือนมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว ผมจะสู้ครั้งสุดท้ายครั้งนี้ อะไรจะเกิดให้มันเกิดไป พี่น้อง แต่ถ้าชนะแล้ว ผมจะยกประเทศให้เขาดูแลกันต่อไป แต่ถ้าเขาดูแลไม่ดี ไม่ต้องมาเรียกผมอีกแล้ว ไม่ต้องมาเรียกผมอีกแล้ว ผมจะขออยู่ในใจพ่อแม่พี่น้องทุกคน ผมจะขอเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ให้พี่น้องได้ระลึกถึง และพี่น้องครับ วันนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้พิสูจน์ให้พี่น้องเห็นชัดเจนแล้วว่าทองคำแท้อย่างพวกเราย่อมไม่กลัวไฟ

“ผมจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ เพราะว่ามันไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา แต่ 30 นี้ จะเป็นงานเลี้ยงที่สำคัญ เพราะฉะนั้นแล้ว 30 นี้ พี่น้องไม่ต้องกังวล ผมอยู่เคียงข้างพี่น้องตลอดไป จนกว่าเรื่องราวนี้จะจบ แต่ผมไม่ต้องการให้พี่น้องถามผมเมื่อเรื่องราวจบแล้ว แล้วถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการให้พี่น้องถามว่า คุณสนธิหายไปไหน ไม่ต้องการ ผมต้องการให้พี่น้องเดินหน้าต่อไป เพราะพี่น้องแต่ละคนมีภูมิคุ้มกันมากพอแล้ว 7-8 ปีที่ผ่านมา พี่น้องมีองค์ความรู้มากพอแล้ว”

เกิดอะไรขึ้นกับสนธิ ลิ้มทองกุล?

อย่างไรก็ตาม หากถอดรหัสคำพูดดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่นายสนธิเผชิญนั้นหนักหนาสาหัสเพียงใด

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ กระสุนปืนจากอาวุธสงครามนับเป็นร้อยๆ นัดเข้าใส่บริเวณถนนสามเสน หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรม เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นทางรัฐบาลประชาธิปัตย์อยู่ระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน

ไหนจะคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมนับเป็นร้อยๆ คดี ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะจบสิ้นหรือยุติลงเมื่อวันไหน

เช่นเดียวกับการออกมาต่อสู้กับการผลักดันร่างกฎหมายฟอกผิดให้ นช.ทักษิณ ที่นายสนธิตัดสินใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรมอีกครั้งทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วการชุมนุมแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นไม่น้อย และยิ่งการชุมนุมยาวนานเท่าไหร่ ตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ

เพียงแค่ค่าเครื่องเสียง ค่าไฟ และค่าจ้างถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมทาง ASTV ก็หนักหนาพอควร

แน่นอน พี่น้องประชาชนมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือ แต่ก็มิได้ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้น จึงต้องใช้เงินทองส่วนตัวเพื่อต่อสู้ให้กับประเทศชาติ

แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความพยายามที่จะปล่อยข่าวทำลายนายสนธิมาโดยตลอด และการปล่อยข่าวที่สำคัญก็คือ การปล่อยข่าวเรื่องการรับเงินรับทอง ปล่อยข่าวว่ามีการเกี้ยเซี้ยะกับนักโทษชายทักษิณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทว่า ในที่สุดความจริงก็ย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ เพราะในวันที่ไม่มีใครลุกขึ้นมา ต่อสู้กับความทุรยศในการต่อสู้กับกฎหมายฟอกผิดทักษิณ นายสนธิก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะนำทัพพันธมิตรฯ ออกมาต่อสู้บนท้องถนน ซึ่งนั่นก็เป็นบทพิสูจน์และเคลียร์ข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวงให้จบสิ้นไปในฉับพลันทันที เพราะถ้าหากนายสนธิรับเงิน นช.ทักษิณจริง การต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างแตกหักย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

ถามว่า สื่อมวลชนที่ปล่อยข่าวนี้ออกมาอย่างเครือเนชั่น

ถามว่า นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ปล่อยข่าวนี้ออกมา

ถามว่า คนอย่างเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คนอย่างอัญชะลี ไพรีรัก คนอย่างจิตรกร บุษบา คนอย่าง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ที่วันนี้มีความชัดเจนว่า เลือกที่จะยืนอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ กล้าพอที่จะยอมรับความจริงในข้อนี้หรือไม่

กระนั้นก็ดี แม้คนเหล่านี้จะเคยมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แม้คนเหล่านี้จะเคยมีความเข้าใจผิด แต่เพื่อภารกิจอันใหญ่หลวงที่ต้องกระทำเพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นายสนธิก็ประกาศชัดเจนว่า พร้อมที่จะเปิดกว้างให้ทุกกลุ่มเข้ามาร่วมเพื่อปกป้องประเทศชาติ

เพราะนี่คือศึกครั้งสุดท้ายในชีวิตของนายสนธิที่มีเดิมพันสูงสุดถึงขั้นชี้ตาประเทศกันเลยทีเดียว

ส่วนถามว่า ทำไมถึงเป็นศึกที่สำคัญยิ่ง คำตอบก็มีอยู่ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้นั้น มุ่งหวังแต่จะลบล้างความผิดของบุคคลต่างๆ ในอดีต ทั้งๆที่บางคดีมีคำพิพากษาของศาลฎีกาจนถึงที่สุดแล้วถึง 2 คดี ทั้งคดีการกระทำความผิดต่อกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คดีให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ ตลอดจนล้างผลของคดีการมีและใช้อาวุธสงครามในกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนรัฐบาล ลบล้างคดีเจ้าหน้าที่รัฐทำร้ายผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บและเสียชีวิต และคดียุบพรรคอันสืบเนื่องมาจากการทุจริตเลือกตั้งของนักการเมืองฯลฯ

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังได้ก้าวล่วงไปถึงการล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ล้มล้างคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายระบบการถ่วงดุลตรวจสอบของศาลเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง อันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและนิติธรรมจนหมดสิ้น และเป็นการนำทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคืนกลับไปให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรอย่างไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม

รวมทั้งเป็นการล้างความผิดให้กับผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายอาญาที่มีโทษร้ายแรง อาทิ ความผิดฐานการก่อการร้าย ความผิดฐานดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ความผิดฐานก่อจลาจลวางเพลิง เผาทรัพย์ หรือต่อสู้ขัดขวางหรือฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ อันมีกฎหมายที่มีไว้เพื่อคุ้มครองความสงบสุขของบ้านเมือง และประโยชน์สาธารณะ การลบล้างความผิดโดยผลของกฎหมายดังกล่าวนี้ จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้บุคคลกระทำความผิด ละเมิดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และทำลายความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ และทำลายขื่อแปของบ้านเมืองจนหมดสิ้น

ที่สำคัญคือเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคเพื่อไทยจะยังคงใช้สภาพวกมากลากไปในการผ่านร่างกฎหมายฟอกผิดฉบับนี้ให้จงได้ ดังจะเห็นได้จากการที่สภามีมติท่วมท้นให้เลื่อนกฎหมายดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเร่งด่วนเป็นวาระแรกในวันที่ 1 มิถุนายน ทั้งๆ ที่เสียงคัดค้านดังกระหึ่มทั่วทั้งแผ่นดิน

**’บิ๊กบัง’ กับการปูทาง ‘รัฐไทยใหม่’ ลูกผู้ชายตัวจริงของ ‘เสี่ยโอ๊ค’ 

ตัดฉากกลับมาที่อีกหนึ่งสนธิ

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

ที่ผ่านมาแม้จะเกิดกระแสวิจารณ์อย่างหนักว่าเหตุใดชายชาติทหารอย่าง ‘บิ๊กบัง’ ผู้นำในการรัฐประหารยึดอำนาจจาก ‘พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร’ เมื่อ 19 กันยายน 2549 ด้วยข้อหาฉกรรจ์ ทั้งการคอร์รัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ อีกทั้งบ่อนทำลายสถาบัน จึงก้มลงเลียน้ำลาย ที่ตัวเองได้ถ่มถุยออกไปด้วยการลุกขึ้นมานำร่องเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อล้างความผิดให้ทักษิณ กระทั่งถูกกล่าวหาว่า ‘รับจ็อบ’ จากทักษิณ แต่บิ๊กบังก็หาได้ใส่ใจ

คำถามที่ตามมาก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับลูกผู้ชายตัวจริงของเสี่ยโอ๊ค

ทั้งนี้ หากไล่เรียงลำดับนับแต่ พล.อ.สนธิทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ เส้นทางเดินของ พล.อ.สนธิก็ถวิลหาและมีความปรารถนาทางการเมืองสะท้อนออกมาให้เห็นเป็นลำดับ กระทั่งอดใจไม่ไหวตัดสินใจตั้งพรรคมาตุภูมิ

อย่างไรก็ตาม ตัวตนของ พล.อ.สนธิได้สำแดงให้สาธารณชนได้เห็นชัดแจ้งขึ้นเมื่อได้รับการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำและมีเสียงข้างมากในสภาให้เป็น “ประธานคณะกรรมาธิการปรองดอง” จากนั้นก็สร้างผลงานอันเอกอุด้วยการจับมือกับสถาบันพระปกเกล้านำเสนอผลวิจัยให้ยกเลิกทุกคดีความทุกการกระทำความผิดอันมีผลมาจากคตส.ซึ่งนั่นย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงก็คือ นช.ทักษิณ

ในครั้งนั้น สังคมฟันธงได้ชัดแจ้งว่า พล.อ.สนธิเปลี่ยนไป และเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง นช.ทักษิณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ยิ่งเมื่อ พล.อ.สนธิโชว์เดี่ยวหรือเป็นแกนนำในการผลักดันร่างกฎหมายปรองดองแห่งชาติเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องแสวงหาคำตอบให้เหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป

“พฤติกรรมของ พล.อ.สนธิ นั้นชัดเจนตั้งแต่เป็นประธานคณะกรรมาธิการปรองดองแล้ว การที่ออกมาปฏิเสธว่า ไมได้รับจ็อบจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ตนขอถามกลับว่า หากบอกว่าไม่รับจ็อบเป็นรับจ้างใช่หรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้พล.อ.สนธิ ชี้แจง ส่วนการอ้างเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีนั้น ตนคิดว่า เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของพล.อ.สนธิหมดไปตั้งนานแล้ว ไม่ควรนำมาอ้างในการเสนอกฎหมาย”นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้วิจารณ์การกระทำของ พล.อ.สนธิอย่างเผ็ดร้อน

ขณะที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า การดำเนินการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองของ พล.อ.สนธิ นั้นนับเป็นขบวนการที่ทำเพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่พล.อ.สนธิ ยอมเปลืองตัวรับหน้าเสื่อเป็นประธานคณะกรรมาธิการปรองดองฯ มีนายวัฒนา เมืองสุข รองประธานกรรมาธิการปรองดอง ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มทุนในพรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง ที่รับหน้าที่ประสานงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธแต่คนในวงการเมืองเขาต่างรู้เรื่องนี้ดี และเมื่องานสำเร็จ พรรคเพื่อไทยก็มอบตำแหน่งกรรมาธิการงบประมาณปี 56 ให้

อย่างไรก็ดี ก่อนที่ พ.รบ.ปรองดอง ฉบับบิ๊กบังจะถูกดันเข้าสู่การพิจารณาของสภา พล.อ.สนธิก็ออกมาอ้อมแอ้มชี้แจงตะแบงถึงเหตุผลที่เขาเสนอ พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า “กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีการล้างผิดแต่อย่างใดคนผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ ยกเว้นคนผิดตามเงื่อนไขตามการเมืองตรงนี้อภัยโทษให้ หรือนิรโทษกรรมให้ในบางคดี ถ้าผิดก็ต้องกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การปรองดองไม่ใช่การหยุดค้นหาความจริง การค้นหาข้อเท็จจริงต้องค้นหาไปตลอดเพราะเป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่ง ซึ่งที่ไหนก็ตามที่มีความขัดแย้งแล้วความขัดแย้งนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป ถ้ายังไม่มีการให้อภัย จะเห็นว่าอินเตอร์เนชันแนล ลอว์ (international law) ชัดเจนเพราะบ้านเมืองเราเคยใช้เป็นรูปธรรม คือ นโยบาย 66/23 คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีอันนี้ถือว่าจะทำให้เกิดการปรองดอง คิดว่าเป็นกฎหมายสากลที่คนทำกันทั่วโลก สถาบันพระปกเกล้าก็มีผลวิจัยว่าทุกประเทศมีการให้อภัยกัน ณ วันนี้เราต้องยอมต้องถอยหลังคนละก้าว ผมไม่มีอะไร ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ทั้งสิ้น”

ใครจะไปเชื่อถ้อยคำเหม็นขี้ฟันที่พรั่งพรูออกมาจาก พล.อ.สนธิ ยิ่งนำไปเปรียบเทียบกับนโยบายต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ยิ่งแล้วไปกันใหญ่

เมื่อถูกซักต่อว่ายังยืนยันไหมว่าสิ่งที่ทำมา (รัฐประหาร 19 ก.ย.) กับกำลังทำอยู่ (ออก. พ.ร.บ.ยกเลิกความผิดให้ทักษิณ) ถูกต้อง พล.อ.สนธิ ก็บอกเสียงแข็งว่า “ยืนยันว่าถูกต้อง และวันนี้จะทำอีกแบบให้เห็นว่าความปรองดองมันมีทางที่จะทำได้หลายทาง ผมยังเชื่อว่าคนไทยทุกคนเข้าใจได้ อย่าคิดว่าผมคิดคล้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วต้องมีคอนเนกชันกัน”

เมื่อถูกถามว่า มีข่าวว่า พล.อ.สนธิ ได้ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนการเสนอร่าง พ.ร.บ. พล.อ.สนธิกล่าวว่า จริงๆ แล้วเราต้องหาข้อมูลก่อนว่าความเป็นจริงคืออะไร ถ้าอยู่ดีๆ ทำอะไรโดยไม่มีข้อมูลข่าวสารคงทำไม่ได้ เช่นเดียวกัน การทำอะไรก็ตามการข่าวต้องมีความชัดเจน เป้าหมายเจตนารมณ์ต้องชัดเจน

ผู้สื่อข่าวย้ำถามว่า จริงหรือไม่ที่ไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อรับจ็อบ พล.อ.สนธิกล่าวพร้อมหัวเราะว่า “ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผม”

เมื่อถามว่า มองอย่างไรเมื่อเป็นถึงอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติแต่กลับดำเนินการแบบทำด้วยมือลบด้วยเท้า พล.อ.สนธิกล่าวย้ำชัดว่า “อย่าไปพูดอย่างนั้น เราเจตนาดีครับเมื่อวิกฤตสถานการณ์วันนั้นตอนนั้นก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นวิกฤตของบ้านเมือง วันนี้ถามว่ามีใครกล้าจะมาทำให้มันเกิดความสงบเรียบร้อยหรือไม่เท่านั้นเอง ปัญหาคือเราต้องการคนกล้าที่จะมาทำงานให้บ้านให้เมืองเพื่อเกิดความปรองดอง เพราะฉะนั้นวันนี้ถามว่าผมมีความสุขและอยากได้อะไรหรือไม่ ผมไม่อยากได้อะไร แต่ต้องการเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดองเท่านั้นเอง ตรงนี้สำคัญที่สุด ทุกอย่างผมมีหมดแล้ว โดยเฉพาะเกียรติภูมิศักดิ์ศรีมันมากกว่าจะมารับจ็อบใดๆ”

และทั้งหมดนั้นคือลีลาอันพลิ้วไหวและลื่นไหลชนิดที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ปลาไหลตัวพ่อยังต้องยกนิ้วให้ทีเดียว

ถามว่า อะไรทำให้หัวหน้าคณะรัฐประหารเปลี่ยนใจจากหน้ามือเป็นหลังมือ

จากข้อมูลของสำนักข่าวอิศรา ซึ่งได้เปรียบเทียบบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ระหว่างช่วงยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขณะรับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ วันที่ 2 สิงหาคม 2554 กับช่วงเป็นรองนายกรัฐมนตรี วันที่ 5 ตุลาคม 2550 พบว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากมายอย่างน่าสงสัย โดยมีเงินฝากเพิ่มขึ้นกว่า 11 ล้านบาท ที่ดินงอกจาก 1 แปลงเป็น 10 แปลง ทรัพย์สิน โดยตอนเป็นรองนายกรัฐมนตรี วันที่ 5 ตุลาคม 2550 พล.อ.สนธิแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินว่ามีทรัพย์สิน 38,796,977.20 บาท ล่าสุด ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 2 สิงหาคม 2554 พล.อ.สนธิแจ้งว่า มีทรัพย์สิน 46,834,299.40 บาท

ส่วน พล.อ.สนธิ จะได้ ‘สิ่งตอบแทน’ จากนักโทษหนีคดีแห่งดูไบหรือไม่นั้นอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับผลของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะสิ่งที่น่าประหวั่นที่สุดหาก พ.ร.บ.ปรองดองออกมาบังคับใช้ก็คือ การทำลายกระบวนการ ‘ยุติธรรม’ ซึ่งเป็น 1 ใน 3เสาหลักที่ค้ำจุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยอยู่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ‘ระบอบทักษิณ’ ได้รวบอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติไว้ในอุ้งมืออย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ขณะเดียวกับที่หมู่บ้านเสื้อแดงก็ถูกสถาปนาขึ้นอย่างเอิกเกริก และแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากเชื้อไวรัสที่กำลังกัดกินทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย

นี่จึงนับเป็นการปูทางไปสู่ปฐมบทแห่ง ‘รัฐไทยใหม่’ ภายใต้การปกครองของระบอบทักษิณที่ชัดเจนที่สุด เพราะเมื่อทักษิณสามารถรวบอำนาจทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการไว้ในมือได้หมดแล้ว การบรรจุระบอบการปกครองรูปแบบใหม่ลงในหมู่บ้านเสื้อแดงที่รักและเทิดทูนทักษิณเหนือสิ่งอื่นใด ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

และแน่นอนว่าคนที่ยื่น ‘จิ๊กซอว์’ ตัวสุดท้ายให้ ‘นช.ทักษิณ’ สร้างแผนที่ ‘รัฐไทยใหม่’ ก็หาใช่ใคร หากแต่คืออดีตนายทหารผู้องอาจที่เคยล้มล้างอำนาจทักษิณมากับมืออย่าง ‘พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน’ ที่วันนี้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองและปวารณาตัวรับใช้ระบอบทักษิณอย่างชนิดสู้ตายถวายหัว

Credit by manager.co.th

แบ่งปันข่าวสาร Like & Share ให้ด้วยนะค่ะ